ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Story of The Magical Power

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 ความฝัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 27
      0
      1 ธ.ค. 48



                  ด้วยเหตุที่ซีซิลลอสไม่มีการเวลา เขาจึงไม่สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาอะไร



    จะสมควรไหมหากเขาต้องการนอนพัก ขณะที่เบเดนกำลังเดินสำรวจไปเรื่อยๆ



    เขาเห็นไอร์ร่า อยู่ที่โดมริมน้ำ พร้อมกับเหล่าออสอีก 3 – 4 ตน







    “หากเจ้าอยากคุยกับเราก็เข้ามาเถอะ ไม่มีใครว่าอะไรเจ้าหรอก เบเดน”







    “คือ...ข้า ข้าเข้าไปได้เหรอ” เขาแกล้งถาม







    “แล้วเจ้าอยากเข้ามาไหมล่ะ”







        เมื่อเบเดนเดินเข้าไป เหล่าออสที่อยู่ตรงนั้น ต่างมองมาด้วยสายตาที่อ่อนโยน ภายใต้ดวงตาสีเขียว



    จากนั้นจึงพูดอะไรบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ แล้วจึงเดินจากไป







    “เจ้าคงอยากรู้ว่าเราคุยอะไรกันใช่ไหม เอาล่ะ ฟังข้านะ



    พวกเราเหล่าออสใช้ภาษาออสิซ เป็นภาษาถิ่น มีออสน้อยจำนวนนักที่จะพูดกับมนุษย์



    และสามารถเข้าใจภาษาอื่นได้ ตอนนี้มีเพียงข้า พ่อข้า เกรย์ฮายย์



    และเหล่าออสอีกเพียงไม่กี่ตน ที่สามารถพูดได้หลายภาษา รวมถึงภาษาเชคิสท์ของชาวเชคส์ผู้วิเศษ



    แน่นอน เจ้าคงไม่เคยเห็น ตอนนี้เหลือน้อยเต็มที



    พวกนี้น่ะ อาศัยอยู่ทางเทือกเขาตอนใต้ของบิงค์ แต่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดนักหรอก”







    “ข้าเข้าใจแล้ว อืม... ท่านเป็นน้องสาวของแม่ข้า หากแต่ไม่เคยไปเยี่ยมเยียนพี่สาวท่านเลยเหรอ”







    เงียบไปพักใหญ่ และไร้ซึ่งคำตอบ ไอร์ร่าจ้องมองเบเดนด้วยสายตาที่ยากจะบอกความรู้สึก



    ประกายสีเขียวไร้ซึ่งความหมายใดๆ จากนั้นนางจึงลุกขึ้น







    “ตอนนี้มนุษย์อย่างเจ้าคงต้องการพักผ่อนสินะ หลับให้สบายเถอะเบเดน



    ออสอย่างข้าจะพักเมื่อใดก็ได้ แล้วสิ่งที่เจ้าถามข้าน่ะ อนาคตเจ้าจะรู้คำตอบเอง



    มันยากนักถ้าจะให้ข้าพูด อีกอย่าง เมื่อเจ้ากลับไปแล้ว ฝากบอกพี่ข้าด้วยว่า



    สิ่งที่นางกำลังกังวลอยู่นั้น ไม่นานมันจักกลายเป็นจริง ซึ่งข้าพร้อมที่จะช่วยเหลือเสมอ”



    ไอร์ร่าเดินจากไป ทิ้งความสงสัยมากมายไว้กับเขา





    –นางหมายความว่าอย่างไร และสิ่งใดที่แม่เป็นกังวล มันจะหนักหนาไหม



    แถวนี้ไม่มีออสเลย ใครจะอ่านใจเขา ใครจะตอบได้-



    แต่ก่อนที่เขาจะได้คิดอะไรมากกว่านี้ ราวกับต้องมนต์ เขาผลอยหลับไปในทันที







        บิงค์ เมืองที่เคยสงบ บัดนี้กลับลุกเป็นไฟ คริสตัลประจำเมืองได้แตกสลายลงแล้ว



    เกิดกบฏขึ้นในราชวัง จากฝีมือของสายเลือดพรีซา เลือดที่กษัตริย์ทุกรุ่นต่างไว้ใจมาตลอด



    ไม่มีใครหยุดยั้งได้ ไม่มีเหล่าออสให้ความช่วยเหลือ และคอยปกป้องอีกแล้ว



    ทันใดนั้นเอง อาร์กอส พรีซา องครักษ์มือขวาแห่งราชวัง กำลังเล็งปลายศรตรงมายังเบซัค...







    “ท่านพ่อ...อ...” เบเดนสะดุ้งตื่นจากความฝัน –หรือความจริง ไม่สิ นี่เป็นเพียงฝัน



    เขาพยายามลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด บ้านเมืองจะเกิดกบฏ ผลึกคริสตัลแตกสลาย



    เกิดการลอบสังหาร... บิดาของเขา- นี่เป็นความฝันที่น่ากลัวเหลือเกินสำหรับเขา



    แต่มาคิดๆ ดู -สายเลือดพรีซา ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก



    พรีซาทุกคนรับใช้กษัตริย์ของบิงค์มานับไม่ถ้วน ถึงรุ่นนี้



    แม้อาร์กอสจะเป็นคนมุทะลุบ้าง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะคิดคดแผ่นดินเป็นแน่-



    เขาส่ายหัวให้ความคิดเหล่านี้หลุดไป นี่เขาหลับไปนานเท่าไรแล้ว



    พอมองไปรอบๆ นี่คือห้องที่เขาเคยนอนเมื่อวันแรกที่เดินทางมาถึง



    เป็นห้องทรงห้าเหลี่ยมมีเถาวัลย์ร้อยพาดไปมาบนเพดานและขอบหน้าต่าง



    ข้างนอกมีลำธารไหลเอื่อย สามารถมองเห็นเทือกเขาสูงเสียดฟ้าที่อยู่ภายใต้กลุ่มหมอกควันอันหนาทึบ



    แน่นอนสิ่งที่เขาเห็นทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสีขาว



    เขาไม่สามารถที่จะหาสถานที่ใดมาเปรียบเทียบซีซิลลอสนี้ได้เลย



    ช่างเหมาะสมกันจริงๆ ทั้งผู้คน ทั้งสิ่งแวดล้อม



    สมควรแล้วที่จะยกให้เหล่าออสเป็นผู้กุมชะตาโลกและมีอำนาจสูงสุด







        ถึงเวลาแล้วที่ต้องกลับกันเสียที เบเดนไม่รู้เลยว่า ตัวเขาเองกับพ่ออยู่ที่นี่ได้นานเท่าไรแล้ว



    ครั้นวันเดินทาง เคย์ร่า และเหล่าออสอีก 2-3 ตน ซึ่งสง่างามอยู่บนยูนิคอร์น ก็โบกมือลา







    “เจ้าคงคิดว่าไม่นานสินะ ที่เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะบอกเจ้าก็ได้ เจ้าใช้เวลาไปถึง 15 วันเชียว”



    เคย์ร่าพูดเจือน้ำเสียงคล้ายกับจะหัวเราะ



    “ข้าส่งพวกเจ้าเพียงเท่านี้ แล้วเบซัค เจ้าจงจำไว้ อีกไม่นาน สิ่งที่ไอรีลล์กังวลจะกลายเป็นจริง



    ซึ่งข้าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ เพราะมันถูกลิขิตไว้แล้ว แต่ที่นี่ ซีซิลลอส ยินดีต้อนรับเพวกเจ้าเสมอ”



    ดวงตาของเขาดูเหมือนกับทุกครั้งที่เบเดนเคยเห็น เพียงแต่ครั้งนี้เป็นดวงตาสีขาวที่ไม่สามารถสื่ออะไรได้เลย



    “ลาก่อนสหายข้า ลาก่อน” และพวกเขาก็ขี่ยูนิคอร์นจากไป







        ม้าควบทะยานฝ่าม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่ด้านหน้า ไม่นาน เบเดนพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางทุ่งกว้างอีกครั้ง



    พร้อมกับที่ม้าชะลอฝีเท้าลง เมื่อหันหลังกลับไป กลุ่มหมอกควันทั้งหลายจางหายไปหมดแล้ว



    ช่างเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ไม่มีวี่แววเมืองซีซิลลอสอยู่เลย



    เมื่อเขาหันกลับมาก็พบกับสีหน้าที่แสนจะเศร้าหมองของผู้เป็นพ่อ







    “เกิดอะไรขึ้นท่านพ่อ ใยสีหน้าท่านจึงหม่นหมองเช่นนี้”







    “เจ้าไม่มีทางรู้หรอกว่า อนาคตข้างหน้าบิงค์จะต้องพบกับสิ่งใด ข้าหวาดหวั่นเหลือเกิน



    ก็ได้แต่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้น แม่เจ้าบอกข้าเสมอ และข้าก็รู้ว่าแม่เจ้ารู้ทุกอย่าง



    นางพูดความจริง ความจริงที่ข้าไม่ต้องการให้เป็น” เบซัคมีแววพรั่นพรึงอยู่ในสายตา



    แม้จะไม่เอ่ยออกมาว่าหมายความว่าอย่างไร แต่เบเดนเองก็เริ่มที่จะเดาได้แล้ว



    –ฤา ความฝันของเขาจะเป็นความจริง เขาสมควรที่จะเล่าให้พ่อฟังในตอนนี้เลย



    แต่อีกใจหนึ่งยั้งเขาไว้ มันไม่ใช่ความจริง ไม่มีทางเป็นไปได้ อาร์กอส พรีซาไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่



    ในเมื่อพวกเขาเติบโตมาด้วยกัน รักกันดุจพี่น้อง ไม่มีทางที่เขาจะคิดก่อกบฏเด็ดขาด-







        ทันทีที่มาถึงหน้าปราสาท เหตุใดเหล่าทหาร และผู้คนจึงมีสีหน้าเช่นนี้



    เบเดนสังเกตเห็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง เดินสลับไปมาอยู่ด้านหน้า ลักษณะการแต่งตัวบ่งบอกว่าเป็นชาวรุกข์



    เขาไม่รอช้า รีบตรงไปยังสวนด้านตะวันตกทันที เพื่อหวังจะได้พบแม่ที่นั่น



    โดยถ้าหากเขาทันมองเห็น จะพบว่า ผลึกแก้วคริสตัลมีสีที่เปลี่ยนไป มันไม่สดใสเหมือนเก่าแล้ว



    มันเริ่มหม่นหมองราวกับว่า จะไม่มีแสงไฟ ไม่มีความหวัง ไม่มีแสงอาทิตย์ส่องลงมายังแผ่นดินแห่งบิงค์อีก







    “ท่านเบซัค” หญิงรับใช้คนหนึ่งวิ่งตรงมาด้วยท่าทีร้อนรน







    “มีอะไรซิดด์ เกิดอะไรขึ้น ทำไมข้างนอกมีทหารเต็มไปหมด แล้วยังมีทหารรุกข์อีก”







    “ท่านหญิง คือตอนนี้อยู่ที่ห้องทิศเหนือค่ะ ข้าว่าท่านรีบไปเถอะ”



    ได้ยินดังนั้น ทั้งคู่จึงรีบรุดไปยังห้องทิศเหนือทันที







    “เกิดอะไรขึ้น ไอรีลล์ ใครทำร้ายเจ้า” สิ้นคำถาม ภาพที่เห็นคือหญิงสาวเจ้าของดวงตาสีเขียว



    ที่บัดนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว หากแต่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าเหลือที่จะกล่าวออกมาได้



    ใบหน้าที่เคยสดใสกลับไร้ซึ่งสีเลือด ผมดำยาวสยายกลับกลายเป็นสีน้ำเงินดุจเดิม



    “เบซัค ความจริงที่กำลังเกิดขึ้น เรื่องที่ข้ากังวล มันน่ากลัวเหลือเกิน น่ากลัวเหลือเกิน”



    นางย้ำอยู่คำเดิมคล้ายกับคนเพ้อเพราะพิษไข้







    “ใครในที่นี้พอจะบอกข้าได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น” เบซัคถามแกมโมโห







    “กษัตริย์ข้า” ทหารคนหนึ่งกล่าวขึ้น “ท่านไปเสียนาน ทางนี้ไม่มีคนดูแล



    เกิดเหตุจลาจลขึ้นโดยมือขวาของท่านเอง อาร์กอส พรีซ่า เขาปลุกระดมทหารที่อยู่ในกำมือเขา



    พระนางรับภาระเพียงคนเดียวไม่ได้ ข้าจึงขอกำลังชาวรุกข์มาปกป้องพระนาง



    ส่วนข้านำกำลังเข้าปราบปราม พวกมันถอยร่นไปในป่า ไม่นานนัก มันต้องกลับมาอีกแน่”







    “กบฏเหรอ ข้าไปไม่นาน มันกล้าทำขนาดนี้เชียวหรือ”







    “ท่านไปนานนะ เบซัค ด้วยเหตุนี้ พวกนั้นจึงมีโอกาสลุกขึ้นต่อต้านเรา เพราะเราไว้ใจเลือดพรีซ่ามากไป



    เขาต้องการมากกว่าเดิม ต้องการราชบัลลังก์” ไอรีลล์ตอบด้วยน้ำเสียงสั่น



    “ข้าเคยบอกท่านแล้ว ว่าสักวัน และข้าก็เฝ้าบอกท่านมาตลอด”







    “ท่านแม่ เหตุใดอาร์กอสจึงทำเรื่องเช่นนี้ได้ ทำไมเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” เบเดนถามด้วยสีหน้าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง



    ด้วยว่าเขาและอาร์กอสนั้น เทียบความสนิทชิดเชื้อแล้วก็เปรียบดังพี่น้อง







    “เชื่อแม่เถอะ... เพราะจิตใจมนุษย์น่ะ มันแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ” ไอรีลล์บอกพร้อมกับลูบศีรษะลูก







        เบเดนรู้สึกสงสัยอะไรอีกมากมายนัก ใจเขาอยากถามแม่เหลือเกินว่า



    อะไรคือสิ่งที่นางหวั่นกลัว เพราะทั้งเคย์ร่า และไอร์ร่า ต่างก็พูดถึงความหวาดหวั่นที่ว่านี้



    หากแต่ตอนนี้ สิ่งที่เขาคิดคือ ตัวเขาจำเป็นต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว







    To be cont...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×