ลำดับตอนที่ #29
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #29 : ตอนที่ 26...เรื่องเล่าในงานเลี้ยง 2
“นิทานของฉัน……อาจจะไม่สนุกเท่าไรหรอกนะ”ลู่หานพูดเสียงเศร้า ดวงตาคู่หวานคลอหน่วงด้วยหยาดน้ำตา ก่อนที่เปลือกตาบางจะปิดลงเพื่อข่มอารมณ์ภายใน ร่างบางนิ่งไปสักพัก ก่อนจะสะบัดมือขึ้นกลางอากาศ เฉียบพลันนั้นฝนกลีบกุหลาบก็ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า กลิ่นหอมของมันอบอวลไปทั่วบริเวณ ดึงทุกคนให้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ภาพคนรักค่อยๆปรากฏขึ้นในใจของแต่ละคน ชานยอลและคริสเผลอสบตากันทันทีที่เห็นภาพในนิมิตของอีกฝ่าย ก่อนที่ร่างโปร่งจะรีบหลบตา ในขณะที่ร่างสูงเผลอยิ้มกับตัวเอง พร้อมกับความรู้สึกแปลกๆที่จู่โจมหัวใจให้สั่นไหว…
“ยิ้มอะไร”ชานยอลเอ่ยถามเมื่อเห็นคริสยิ้ม
“น่ารักดี”ร่างโปร่งหน้าแดงซ่านไปจนถึงใบหูเมื่อได้ฟังคำตอบ ก่อนจะรีบหลบสายตาแล้วเบนหน้าหนีไปทางอื่น หัวใจดวงน้อยเต้นผิดจังหวะกว่าที่เคย ไม่รู้ว่าร่างสูงจะมีมุมแบบนี้ ไม่คิดว่าจะเป็นคนน่ารัก มีอารมณ์หยอกล้อกับเขาเหมือนกัน ยอมรับว่าอีกด้านนึงของคริสก็ทำให้เขาอดจะประหลาดใจและหวั่นไหวไม่ได้….
ขณะที่ชานยอลกำลังตกอยู่ในภวังค์และห้วงแห่งความรักที่เกิดขึ้น จู่ๆเสียงลู่หานก็ดังขึ้นขัด ปลุกร่างโปร่งออกจากจินตนการ
“แด่ความรักอันบริสุทธิ์ แด่ความงามอันเพริศพริ้ง แด่ตัณหาอันเร่าร้อน ห้วงแห่งความรัก จงนำข้าไปสู่ความทรงจำอันตราตรึง” น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูถูกเอ่ยออกมาจากกลีบปากบาง เฉียบพลันนั้นหมอกสีชมพูอ่อนก็โรยตัวไปทั่วบริเวณจนบดบัง ทัศนวิสัยก่อนที่มันจะค่อยๆจางหายไป พร้อมกับฉากเบื้องหน้าที่เปลี่ยนไป
พวกเขาทั้งหมดกำลังยืนอยู่หน้าโรงละครแห่งหนึ่งที่คลาคล่ำไปด้วยเหล่าทีมงาน และนักแสดงมากมายที่กำลังซ้อมการแสดงอยู่ที่เวที หนึ่งในนั้นคือร่างเล็กของลู่หานที่กำลังยืนร้องเพลงอยู่ เสียงใสดังก้องกังวาน ฟังเสนาะหู จนเหล่าทีมงานและนักแสดงคนอื่นๆเคลิบเคลิ้มและอินไปกับการแสดง จนบางคนถึงกับลืมตัวหลงเข้าไปอยู่ในบทละคร
“แมคเบ็ธ…..บทละครอาถรรพ์”คริสพึมพำเสียงเบาราวกับพูดกับตัวเอง แม้เขาไม่ได้คลุกคลีกับวงการนี้ แต่การตายของนักแสดงคนหนึ่งที่เกิดขึ้นขณะเล่นละครเวทีเรื่องนี้ ทำให้เขารู้จักมัน และอีกอย่างที่สะกิดใจเขามากคือ….นักแสดงที่เข้าฉากกับลู่หาน มันรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…
“ใช่ แต่อาถรรพ์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่บทละครนั่นเลย……”ลู่หานตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ก่อนจะพูดต่อ
“แต่มันอยู่ที่ฉันต่างหาก”ร่างสูงตั้งใจจะถามต่อแต่เสียงหนึ่งในอดีตก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน
“ร้องใหม่!! ร้องไม่ดีเลย บทแมคเบธมันสำคัญมากนะ!!! ตั้งใจหน่อย!!!”เสียงผู้กำกับตะโกนดุชายร่างสูงคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนเวที แววตาของลู่หานหมองหม่นลงจนเห็นได้ชัด หยาดน้ำตาปริ่มอยู่ที่ขอบตารอวันหลั่งริน
“ครับ ผมจะตั้งใจซ้อมมากกว่านี้”ชายคนนั้นเอ่ยบอกก่อนจะเริ่มร้องใหม่ แต่พอร้องไปได้ครึ่งเพลงผู้กำกับก็ดุเขาอีก
“พอแล้ว! เลิกๆ กลับไปซ้อมมาใหม่เลย ฉันต้องการที่มันพร้อม ไม่ใช่มาฝึกร้องซ้ำไปซ้ำมาตอนซ้อมแบบนี้ จริงจังหน่อยได้มั้ย อีกไม่กี่วันก็จะแสดงจริงแล้วนะ!!” ผู้กำกับหันมาดุคนข้างๆลู่หาน ในขณะที่คนถูกว่าก็ก้มศีรษะขอโทษขอโพย พร้อมกับรับคำซ้ำๆว่าจะดีขึ้นให้ได้ ร่างเล็กได้แต่ส่ายหน้าระอาเล็กน้อย ก่อนจะเดินลงไปเก็บของ เตรียมตัวกลับเพราะตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พ่อของเขาคงจะเป็นห่วง
“กลับละนะ พรุ่งนี้เจอกัน บาย”ลู่หานเอ่ยบอกเพื่อนร่วมงานทุกคน ก่อนจะตั้งท่าเดินออกไป
“พี่ลู่หานครับ…เดี๋ยวก่อนครับ!!!”เขาหันไปมองตามเสียง ก่อนจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามหนุ่มรุ่นน้องที่วิ่งลงมาจากเวที
“คือ……………..พี่ลู่หานไปไหนต่อมั้ยครับ ….ถ้าไม่….รบกวนมาสอนผมหน่อยได้มั้ยครับ คือ….ผมไม่มีที่พึ่งแล้วจริงๆ”ลู่หานหัวเราะออกมาน้อยๆก่อนจะเอ่ยตอบ
“ก็ได้ ไปสิ ไปซ้อมที่บ้านฉันก็แล้วกัน”ลู่หานเอ่ยบอกก่อนจะเดินนำหน้าไป โดยมีหนุ่มรุ่นน้องที่ยิ้มแก้มแทบปริเดินตามหลังมา เซฮุนในปัจจุบันที่เฝ้ามองอยู่ถึงกับกอดอก ขมวดคิ้ว ก่อนจะหันมาถามลู่หานด้วยน้ำเสียงติดจะหงุดหงิดเล็กน้อย
“นิทานของนายนี่มัน นิทานรักกล่อมเข้านอนชัดๆนะ ไม่เห็นจะทำให้เจ้าของสุสานหายเศร้าตรงไหน”
“ทุกความรัก มักมีความเศร้าซ่อนอยู่เสมอ แค่มันจะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง” ลู่หานเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะพูดต่อ
“ดูต่อเถอะ นิทานเรื่องนี้กินเวลาไม่นานหรอก ทนดูเอาหน่อยนะ”เฉียบพลันนั้นที่ลู่หานพูดจบ บรรยากาศโดยรอบก็ค่อยๆเปลี่ยนไป
คฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยกุหลาบสีแดงสดสวย ที่แม้จะอยู่ในเวลากลางคืน ก็ยังคงงดงามใต้แสงจันทร์ ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพวกเขาในปัจจุบัน และอีกสองคนในอดีต กลุ่มคนจากสองเวลาค่อยๆเดินเข้าไปในบ้านที่ปิดไฟไปแล้ว ก่อนจะมุ่งขึ้นไปยังห้องของลู่หานที่ขนาดแทบจะกลายเป็นเวทีโรงละครขนาดย่อมๆแล้ว
“เรามาซ้อมกันเลยแล้วกัน เอาบทละครของนายมาสิ เดี๋ยวฉันจะช่วยต่อบทให้”ลู่หานเอ่ยบอก หนุ่มรุ่นน้องยื่นบทละครให้อย่างเลิกลัก จนร่างเล็กหลุดหัวเราะ
“พี่ลู่หานหัวเราะแล้วดีจังเลยครับ โลกผมสว่างขึ้นเยอะเลย”คนชมเอ่ยบอกด้วยท่าทางประหม่า
“พูดอะไรของนาย ซ้อมๆ”ลู่หานบอกปัด หากแต่หัวใจกลับเต้นผิดจังหวะ ไม่ เขาจะมีความรักไม่ได้ เขาจะรักใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เขาจะรักเด็กคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด ห้ามแม้แต่จะคิด…
หลังจากนั้นพวกเขาก็ช่วยกันซ้อมบทละครจนเวลาล่วงเลยถึงตีสาม หนุ่มรุ่นน้องก็ขอตัวกลับ ร่างเล็กเดินมาส่งที่หน้าประตูบ้าน ความสนุกที่ได้คุยกันในตอนซ้อมทำให้ลู่หานไม่อยากจะให้เด็กคนนี้กลับบ้านเลย แต่สุดท้ายก็ต้องยอมให้กลับไปอยู่ดี
“กลับดีๆล่ะ”
“พี่ก็….เข้านอนได้แล้วนะครับ ส่วนข้าว เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะไปทุบกระปุกมาเลี้ยงพี่เลย”
“กลับไปได้แล้ว!!”เด็กหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้าพร้อมกับฉีกรอยยิ้มที่แสนจะสดใส ก่อนจะกลับบ้านของตัวเองที่อยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น โดยมีสายตาของลู่หานมองส่ง
“ลูกไม่ควรหวั่นไหวกับเขา”เสียงคุ้นหูของผู้เป็นพ่อดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ผมรู้….”
“ท่องเอาไว้ ครั้งสุดท้ายที่ลูกรักใครมันเป็นยังไง”ทันทีที่ได้ยินลู่หานก็กำมือแน่น หยดน้ำตาร่วงเผลาะลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความเจ็บปวดฉายชัดในใบหน้าสวยหวาน ก่อนที่ผู้เป็นพ่อจะคว้าร่างของลูกชายเข้ามากอดเพื่อปลอบประโลม โดยมีสายตาของลู่หานในปัจจุบันเฝ้ามองดูอยู่
“ทำไมนายถึงรักใครไม่ได้”ชานยอลเอ่ยถามเมื่อความสงสัยมีมากเกินกว่าความเกรงใจ ร่างเล็กเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงทุกข์ระทม
“มันเป็นคำสาป…..”ลู่หานตอบก่อนจะพูดต่อ
“หลังจากนั้นเราก็ฝึกด้วยกันมาตลอด ยิ่งฉันรู้จักเขามากขึ้น ฉันก็ยิ่งถลำลึก ยิ่งใกล้กันก็ยิ่งหวั่นไหว ฉันพยายามแล้วที่จะทำอย่างที่พ่อเตือน พยายามที่จะนิ่ง เย็นชา ผลักไสไล่ส่งให้เขาออกไปไกลๆ แต่สุดท้าย…..ฉันก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้”เปลือกตาบางหลับลง มือบางกำแน่น ก่อนจะพูดประโยคต่อมาอย่างยากลำบากราวกับคำพูดที่พูดออกมาเป็นสิ่งต้องห้าม
“ฉันก็รักเขา…และนั่นคือสิ่งที่ฉันไม่ควรทำมากที่สุด”ลู่หานพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ไหล่เล็กสั่นไหวเมื่อพูดถึงความรักที่ตัวเองมีต่อชายอันเป็นที่รัก ท่าทางที่ผิดธรรมชาติทำให้คนอื่นอดจะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมลู่หานถึงรักใครไม่ได้เลย แล้วคำตอบของพวกเขาก็ค่อยๆปรากฏขึ้นตรงหน้าช้าๆ เมื่อบรรยากาศเปลี่ยนกลับไปเป็นโรงละครเวที หากแต่ครั้งนี้มันถูกประดับประดาไปด้วยแสงสี ที่นั่งที่เคยมีแต่ทีมงานนั่งวันนี้กลับถูกจับจองโดยผู้ชมนับพัน เสียงพูดคุยอย่างตื่นเต้นดังขึ้นขับกล่อมให้บรรยากาศกระปี้กระเป่า ก่อนที่เสียงคุยจะค่อยๆเงียบลง เมื่อพิธีกรพูดเปิดงาน
“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่โรงละครของคณะเรา นับจากนี้ท่านจะได้ดูละครเวทีเรื่อง แมคเบธ ที่พวกเราตั้งใจซุ่มซ้อมกันมา ถ้าพร้อมแล้ว เชิญรับชมได้เลยครับ”
“แล้วคำสาปก็ค่อยๆเริ่มขึ้น ณ วินาทีนั้น”ลู่หานเอ่ยบอก ก่อนที่ม่านจะถูกชักออก ตัวละครแม่มดสามคนท่าทางน่ากลัวกำลังร่ายรำอยู่กลางเวทีท่ามกลางหมอกควัน และแสงสลัว
“ดีคือเลว ทรามคืองาม แมคเบธผู้จะเป็นราชานับจากนี้”เสียงแม่มดทั้งสามพูด ก่อนที่เรื่องราวจะค่อยๆดำเนินไป โดยมีสายตาของผู้ชมนับพันจับจ้อง บทเพลงอันไพเราะและการแสดงอันสมจริงดึงทุกคนให้ดำดิ่งลงสู่ห้วงแห่งจินตนาการ เว้นเสียแต่ลู่หานในปัจจุบันที่ยิ่งละครใกล้ถึงฉากจบมากขึ้นเท่าไร ร่างกายของเขาก็ยิ่งสั่นเทิ้ม มือเรียวจิกมือตัวเองแน่นจนห้อเลือด หัวใจสั่นคลอนราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาเขย่าอย่างแรง ดวงตาหวานที่จับจ้องตัวเองในอดีตกำลังถือดาบ มุ่งตรงเข้าไปหาหนุ่มรุ่นน้อง เตรียมที่จะสังหารตามบทละครที่ต้องแสดงสั่นระริก และเริ่มคลอไปด้วยน้ำตา
“ไม่มีมนุษย์ที่เกิดโดยธรรมชาติคนใดจะฆ่าข้าได้”หนุ่มรุ่นน้องผู้รับบทเป็นแมคเบธพูดตามบทละคร
“แต่ข้าเกิดมาจากการผ่าท้อง”เฉียบพลันนั้นลู่หานก็แทงดาบลงไปที่ท้องของหนุ่มรุ่นน้อง ลู่หานในปัจจุบันรีบเบือนหน้าหนี
ของเหลวสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากปากแผลที่ถูกแทงจนลึก แมคเบธเบิกตาโพล่งส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มตึงลงบนพื้น การแสดงที่สมจริงสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมนับพันที่กำลังชมอยู่ ก่อนที่ม่านจะค่อยๆปิดลงมาพร้อมเสียงปรบมือลั่นโรงละคร
“นั่นไม่ใช่การแสดง!”คริสเอ่ยบอกเมื่อเขารับรู้ได้ถึงความตายที่ยังคงเจือจางอยู่ในความทรงจำของลู่หาน เฉียบพลันนั้นร่างสูงก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาจำได้แล้วว่าเด็กคนนั้นคือคนที่เคยเจอในนรกเมื่อหลายปีก่อน เพราะเขาสนใจในสาเหตุการตายที่ผิดแผกจากคนธรรมดา…
“ฉัน…ฉันฆ่าเขาเอง ถึงฉันจะไม่รู้ว่าดาบเล่มนั้นเป็นของจริง แต่ฉันก็ ก็….ฆ่าเขา “ลู่หานพร่ำบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาหวานมองมือตัวเองก่อนจะกำเข้าหากันแน่น ความรู้สึกที่ตัวเองแทงดาบเล่มนั้นลงไปบนตัวคนรักยังคงเด่นชัดและสดใหม่อยู่ห้วงคำนึง และยิ่งชอกช้ำเมื่อมาดูโศกนาฏกรรมซ้ำสอง
“มันเป็นคำสาป…”คริสพูดเสียงเรียบเมื่อนึกถึงสาเหตุการตายของผู้ชายคนนั้นได้
“คำสาป…คำสาปอะไร”เซฮุนเอ่ยถาม
“คำสาปที่ฉันจะรักใครไม่ได้ เพราะเมื่อรักใครแล้ว คนคนนั้นจะต้องตายด้วยน้ำมือ…..ของฉันเอง”ลู่หานเอ่ยบอกด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะหลับตานิ่ง เสียงปรบมือของผู้ชมดึกกึกก้องโรงละคร หากแต่สำหรับเขามันเหมือนเพลงอาลัยในงานศพ หลังจากเหตุการณ์นั้นไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะมนตร์ตราบิดเบือนลบเลือนหนุ่มรุ่นน้องคนนั้นออกจากความทรงจำของทุกคนไปจนหมด หากแต่ความจริงทุกอย่างกลับยังคงเด่นชัดในจิตใจของเขา….ว่าเขาคือคนที่ฆ่าผู้ชายคนนั้นเองกับมือ
ภาพในอดีตค่อยๆเลือนหายไปช้าๆก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ปัจจุบันกาล ทั้งสี่คนได้แต่นั่งนิ่งไม่พูดอะไร ลู่หานจมดิ่งอยู่ในความเจ็บปวด การรักใครไม่ได้ถือเป็นเรื่องทรมาน แต่การทำให้คนรักตายด้วยน้ำมือของตัวเองนั้นทรมานยิ่งกว่า เพราะเหตุนี้เขาถึงได้เกลียดความรัก เกลียดตัวเอง และไม่กล้าจะเปิดใจให้ใคร อีกเลย
“ฉันได้รับเกียรติในการเป็นที่รักของคนอื่น แต่ฉัน……….ไม่ได้รับเกียรติในการที่จะรักคนอื่น”ลู่หานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย ก่อนจะพูดต่อ
“เพราะฉะนั้น เมื่อพวกนายได้รักใคร จงดีใจที่ได้รักเขา ไม่เหมือนอย่างฉัน ที่ทำไม่ได้แม้แต่จะหวั่นไหว” ชานยอลและคริสเผลอสบตากันก่อนจะรีบเสมองไปทางอื่น
“มันเป็นแค่อดีต”เซฮุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน ร่างบางนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะปาดน้ำตาออกลวกๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ
“ฉันไม่เศร้าหรอก ฉันเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันแล้ว”
“นายรักใครไม่ได้เลยหรอ”ชานยอลเอ่ยถาม
“ยกเว้นเนื้อคู่ของฉัน แต่ใครจะกล้าเสี่ยงรักคนอื่นไปเรื่อย ๆ ในเมื่อถ้าไม่ใช่ แล้วคนคนนั้นก็จะตาย”
“ผมอาจจะเป็นคนนั้นก็ได้นะ ช่างเสริมสวย”เซฮุนแกล้งหยอก จนลู่หานที่เพิ่งหายเศร้า ทำหน้าบูดบึ้ง เบ้ปากไม่สบอารมณ์แทน
“เงียบไปเลยไอ้หัวขโมย นี่ คริส….นายหายเศร้าบ้างมั้ย”ร่างเล็กหันไปถามคริสแทน
“หาย….แล้วก็คิดอะไรได้เยอะ”คนถูกถามเอ่ยตอบเสียงเรียบ
“ดีแล้วล่ะ….อย่างน้อยพี่ก็ยังได้รู้ว่าครอบครัวพี่หนะดีกว่าผมเยอะ”เซฮุนเอ่ยบอก ก่อนที่ลู่หานจะแทรกขึ้น
“ใช่ แล้วนายก็ควรดีใจที่ได้รักชานยอล แล้วหมอนี่ไม่ตายน่ะ”ลู่หานบอกพร้อมกับชี้ไปที่คนถูกพาดพิง
“พูดบ้าอะไร! เพ้อเจ้อ! คริสน่ะหรอจะรักใคร ไม่มีทาง”กลายเป็นชานยอลที่เดือดร้อนแทนคริส ใบหน้านวลขึ้นสีระเรื่อ ก่อนจะแดงก่ำไปถึงใบหูเมื่อคริสพูดขัดขึ้นมา
“แล้วถ้ามันมีทางล่ะ….”คนฟังถึงกับอ้ำอึ้ง เส้นเสียงเหมือนหายไปเสียดื้อๆ ดวงตากลมโตเลิ่กลั่กรีบหลบสายตาของร่างสูงที่เหมือนจะมองทะลุมาถึงหัวใจของเขา ก่อนจะพึมพำตอบเสียงเบาๆ
“……เพ้อเจ้อ”
“พูดจริง….”คริสเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงจริงใจไร้การปรุงแต่ง จนชานยอลเริ่มทำตัวไม่ถูก กลีบปากอิ่มเม้มแน่น พร้อมกับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ก่อนจะเริ่มหาหนทางหลีกหนีจากสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อหัวใจอย่างนี้
“……ลู่หาน กับเซฮุนคงหิวน้ำ เดี๋ยว….เดี๋ยวไปเอาให้” ร่างโปร่งพูดรัวก่อนจะลุกพรวด เดินเลี่ยงไปที่โต๊ะเครื่องดื่ม
“ตามไปสิๆ”ลู่หานแนะนำคริส ร่างสูงลุกขึ้นยืน ก่อนจะตั้งท่าเดินไปหาชานยอล
“พี่เอานี่ไปง้อมั้ย”เซฮุนพูดพร้อมกับยื่นผอบที่ได้จากการขโมยมาเมื่อครู่
“เก็บไว้ให้ลู่หานของนายเถอะ”คริสเอ่ยตอบก่อนจะเดินไปหาร่างโปร่ง
“ช่างเสริมสวย เอามั้ย”เซฮุนพูดพร้อมกับยื่นผอบให้ลู่หาน ร่างเล็กทำหน้าไม่สบอารมณ์ก่อนจะเอ่ยตอบ
“โทษที ฉันไม่รับของโจร”
-----------------------------------------------------
“เขินหรอ”คริสเอ่ยถามชานยอล ที่กำลังดูน้ำสีอำพันเบื้องหน้า ร่างโปร่งเหลือบมามองคนที่เดินตามมา ก่อนจะตอบโดยไม่ยอมมองหน้า
“เปล่า ใครจะเขิน”
“แล้วทำไมต้องหลบตา”
“ก็….ก็…ก็.เบื่อขี้หน้า ไม่อยากมอง”ชานยอลแกล้งว่า พร้อมกับหยิบแก้วนู่น วางแก้วนี่ไปเรื่อย
“ถ้างั้นคงต้องเบื่ออีกนาน” แก้มใสขึ้นสีระเรื่อ ก่อนร่างโปร่งจะกลบเกลื่อนความเขินอายด้วยท่าทางหงุดหงิด และโมโห
“จะมาทำไมให้เจอ พันธะก็หมดไปแล้ว นายก็กลับนรกของนายไปสิ”
“ถ้าบอกว่าไม่อยากกลับ…”
“เรื่องของ….”คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายไปเมื่อร่างโปร่งเผลอหันมามองคู่สนทนา ดวงตาคู่คมที่มองลึกเข้าไปในดวงตากลมโตเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ชานยอลไม่เคยเห็น มันดูทรงเสน่ห์ จริงจัง และจริงใจจนสะกดทุกการเคลื่อนไหว และสั่นคลอนทุกความรู้สึกของชานยอล
“พูดต่อสิ”คริสพูดขึ้นพร้อมกับเลื่อนมือไปกระชับมือเรียวของชานยอลที่กำลังจะปล่อยแก้วตกพื้นอยู่รอมร่อ ดวงตากลมโตกระพริบถี่ๆสองสามครั้ง พร้อมกับเรียกสติกลับมา แล้วค่อยๆชักมือกลับ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“เรื่องของนาย นายจะมานายจะไป มันก็เรื่องของนาย ไม่เกี่ยวกับฉัน”ชานยอลตอบก่อนเดินถือแก้วน้ำนำไปที่โต๊ะ
“เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยว….”คริสพูดเว้นช่วง ก่อนจะพูดต่อด้วยประโยคที่เร่งเร้าให้หัวใจของคนฟังเต้นเร็วขึ้น
“ในเมื่อคนที่จะทำให้ฉันจะมาหรือจะไป มันคือนาย”ชานยอลนิ่งไปชั่วครู่ แก้มใสขึ้นสีจากการเขิน รอยยิ้มหวานถูกวาดขึ้นที่กลีบปากอิ่มอย่างไม่รู้ตัว ก่อนเจ้าตัวจะแกล้งโมโหกลับเกลื่อน
“พูดอะไร ไม่รู้เรื่อง”ร่างโปร่งทำเป็นไม่สนใจก่อนจะเดินไปหาลู่หานที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ
“อ่ะ นี่ของนาย ส่วนนี่ของนาย เซฮุน”เอ่ยบอกพร้อมกับยื่นเครื่องดื่มให้ทั้งสองคน เซฮุนรับแก้วมาอย่างพินิจพิจารณาก่อนจะยกขึ้นจิบ
“นี่น้ำมันหวานอยู่แล้ว หรือเพราะพวกพี่จีบกันจนมันหวานน่ะ”เซฮุนแกล้งหยอก คริสเพียงแค่หัวเราะในลำคอเล็กน้อย ในขณะที่ชานยอลหน้าแดงถึงใบหู พร้อมกับถลึงตาดุหนุ่มรุ่นน้อง
“นี่หน้าแดงเพราะโกรธหรือเพราะเขิน แค่ก แค่ก”เซฮุนแกล้งถามก่อนจะสำลัก เมื่อร่างโปร่งแกล้งบังคับน้ำสีอำพันที่เด็กหนุ่มกำลังดื่มให้ไหลพรวดลงคออย่างรวดเร็ว โดยที่เซฮุนไม่ทันตั้งตัว
“แล้วนี่พี่ซีวอนรู้เรื่องที่นายชอบกันรึยังน่ะ”ลู่หานเอ่ยถาม ทันทีที่ทั้งสองได้ยินก็ชะงักไป ร่างโปร่งนิ่งงันด้วยเพราะเขินที่ลู่หานมองออกว่าเขารู้สึกยังไง ในขณะที่คริสเงียบไปเพราะชะงักกับชื่อของใครบางคน….
ชเวซีวอน บุตรแห่งมหาเทพซุส ชู้รักของชานยอล
“ฉันไม่ได้รักสักหน่อย”ชานยอลตอบเสียงอ้อมแอ้ม ในขณะที่คริสมีสีหน้าบึ้งตึงทันทีที่ได้ยินคำตอบ จนลู่หานที่ลอบมองอยู่ถึงกับลอบยิ้ม
“พี่ต้องบอกพี่ซีวอนนะ พี่เขาเป็นคนสำคัญกับพี่มากนะ ถ้ารู้ทีหลัง เป็นเรื่องแน่”เซฮุนสนับสนุนคำพูดของลู่หาน ทำให้คริสยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม ความจริงเรื่องความสัมพันธ์ของชานยอลกับซีวอนตีฟุ้งกระจายขึ้นมาในใจอีกครั้ง เขายังจำได้ดีถึงวันที่ชานยอลดูดีใจและมีความสุขมากเมื่อได้เจอร่างสูงคนนั้น
“วันนี้วันเกิดพ่อเขา พี่เขาคงต้องมา เราไปชวนพี่เขามานั่งด้วยดีกว่า”ลู่หานเสนอ โดยไม่ดูสีหน้า และท่าทางของคริสเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะหันไปสั่งเซฮุนให้เขียนจดหมายเรียกซีวอนให้มาที่นี่เหมือนอย่างที่เคยเล่นกันตอนเด็กๆ
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำสั่งของลู่หานไปส่งๆ ก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนข้อความหาซีวอน แล้วพับเป็นนกกระดาษ ก่อนจะเสกให้มันบินไปหาซีวอน แล้วเรียกให้ร่างสูงมาที่นี่ หากแต่เมื่อมันกางปีกบินไปได้แค่ไม่กี่นาที สายฟ้าลำหนึ่งก็ผ่านกกระดาษจนไหม้เกรียมไปหมด
“นกผม…”เซฮุนพูดอย่างอาลัยอาวรณ์เมื่อนกกระดาษที่เพิ่งพับกลายเป็นอีกาดำปีกหักไปเสียแล้ว
“ยังเล่นเป็นเด็กๆอยู่เลยนะ เจ้าพวกนี้” เสียงทุ้มนุ่มที่ทรงพลังเอ่ยขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มรูปงาม ผู้มีศักดิ์เป็นลูกของมหาเทพซุส และเป็นรุ่นพี่ที่เคารพนับถือของกลุ่มชานยอล เว้นเสียแต่คริสเพียงคนเดียวที่ไม่เคยอยากรู้จักกับผู้ชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย
“ตายยากจริงๆ”คริสพูดกับตัวเอง แต่มันก็ดังพอให้ผู้มาใหม่ได้ยิน
“นั่นลูกของฮาเดสนี่ นายก็มางานนี้กับเขาหรอ หรือว่าบังคับชานยอลให้พามา เพื่อที่จะมาก่อความวุ่นวายที่นี่กัน”ซีวอนเอ่ยถามอย่างหวาดระแวงพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้
“ถ้าจะก่อเรื่อง ฉันก็คงตั้งใจทำให้นายวุ่นวายแค่คนเดียวเท่านั้นล่ะ ซีวอน”คริสตอบกลับด้วยท่าทางหยิ่งยโส
“คริส…”ชานยอลปรามอีกฝ่าย เขาพอจะรู้ว่าทั้งสองคนไม่ถูกกัน แต่เพราะอะไรนี่เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ไม่เป็นไรชานยอล แค่เด็กขี้โมโห พี่ไม่ถือสาหรอก เราล่ะ เป็นยังไงบ้าง พี่ไม่ได้ไปหาเลย ติดธุระตลอด”ซีวอนหันไปสนใจคนข้างๆคริสแทน
“ผมคิดถึงพี่จะแย่”ชานยอลบอกด้วยน้ำเสียงทะเล้น ก่อนจะโผเข้ากอด แล้วส่งยิ้มหวานให้ร่างสูง ท่าทางเหมือนลูกหมาตัวโตได้เจอกับเจ้าของที่จากกันไปนาน จนคริสที่เฝ้ามองอยู่ถึงกับโมโห และเริ่มหมดความอดทนเรื่อยๆ
“หึงเขารึไง”ลู่หานกระซิบถามร่างสูง แต่ก็ได้แค่สีหน้าโกรธเกรี้ยวมาแทนคำตอบ แต่เพียงเท่านั้นเขาก็รู้แล้วว่าคริสรู้สึกยังไง…..
หึงหวง อารมณ์ในห้วงความรัก ที่เขาโปรดปรานมากที่สุด เพราะมันจะทำให้คนเรา…..ไร้เหตุผลมากที่สุด
“นี่ๆ น้อยๆหน่อย นั่งกันอยู่ตรงหลายคน”ลู่หานแกล้งว่า
“ก็คนมันคิดถึงนี่ ไม่เจอกันตั้งนาน”ชานยอลหันมาตอบโดยไม่คิดอะไร เพราะสำหรับเขาซีวอนกับเขาเปรียบเสมือนพี่น้องกัน ไม่เคยคิดเป็นอื่น แต่ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนไม่ได้คิดแบบเขาเสียแล้ว…
“จะคิดถึงอะไรกันมากมาย”คริสเอ่ยพูดลอยๆ ก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นจิบ
“อยู่นี่เราคงไม่ได้โดนใครทำร้ายใช่มั้ย”ซีวอนเหลือบตาไปมองคริส ร่างสูงมองย้อนกลับมาด้วยดวงตาที่อัดแน่นไปด้วยความโกรธ
“ไม่มีครับ ผมสบายดี”
“นี่ พี่เอานี่มาฝากเราด้วย รู้ว่ายังไงเราก็ต้องชอบแน่”ซีวอนแบมือออกก่อนที่ลูกโลกใบจิ๋ว ที่มีเหล่าพายุต่างๆกำลังเคลื่อนตัวอยู่จะปรากฏบนฝ่ามือ แล้วยื่นให้ชานยอล
“แผนที่พายุ!!! เจ๋ง! ต่อไปนี้ผมจะได้รู้ว่าจะมีพายุอะไรผ่านทะเลผมบ้าง” ชานยอลร้องอย่างดีใจ เมื่อได้ของขวัญถูกใจ ในขณะที่คริสหน้าไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าเก่า
“โห ให้แต่นางเงือก แล้วพวกผมล่ะ”เซฮุนเริ่มโวยวายเมื่อตัวเองไม่ได้ของฝากบ้าง
“เซฮุน….เรามันเป็นแค่น้อง ไม่ใช่……คนพิเศษแบบชานยอลเขา ไม่ได้ก็ไม่แปลก”ลู่หานแกล้งว่า พร้อมกับส่งสายตาบอกเป็นนัยน์ให้ซีวอนเข้าใจเจตนาของเขา ในขณะที่เซฮุนได้แต่นั่งขมวดคิ้ว งุงงงกับคำพูดของลู่หาน…..คนพิเศษ สองคนนี้เนี่ยนะ ไม่มีทางหรอก
“อย่าน้อยใจเลย น้องก็สำคัญ แต่น้อยกว่าคนพิเศษนิดนึง”ซีวอนแกล้งพูด โดยจงใจส่งสายตาเยาะเย้ยคริส
“ลู่หานกับเซฮุนอย่าน้อยใจไปล่ะ”ชานยอลที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแกล้งพูดให้เพื่อนหมั่นไส้เล่นๆ แต่มันกลับส่งผลไปถึงร่างสูงที่นั่งนิ่งลอบมองทุกการกระทำอยู่
“แล้วเราล่ะ ไม่มีของให้พี่บ้างหรอ”
“พี่อยากได้อะไรล่ะ”ซีวอนนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะเหลือบตาไปเห็นลู่หานที่กำลังวาดภาพมายาเป็นรูปเขาหอมแก้มชานยอลลงในน้ำในแก้วที่อยู่ตรงหน้าเขาพอดี
“หอมแก้ม”
“แค่นี้เอง ได้เลย!”ชานยอลรับคำอย่างแข่งขัน ก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าไปใกล้แก้มกร้าน หากแต่ ณ ขณะที่ใกล้จะสัมผัส จู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน
ปึง!
คริสกระแทกแก้วน้ำลงไปโต๊ะ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“อ้าว จะไปไหนล่ะคริส”ลู่หานร้องถาม
“ฉลองกับคนอื่น นี่มันงานเลี้ยงหมู่ ไม่ใช่งานฉลองสำหรับคนสองคน”ร่างสูงตอบโดยจงใจกระแทกเนื้อความให้กระทบซีวอนและชานยอล ก่อนจะเดินออกไปจากโต๊ะ หากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเดินชนกับอีกคนที่เดินสวนมา
“โอ๊ยยย….เดินยังไงของนายเนี่ย!!!”อีกฝ่ายสวนกลับมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“อู่ยยย เจ๊ใหญ่”เซฮุนกับลู่หานอุทานออกมา แต่คริสก็ไม่ได้สนใจจะฟังเท่าไรนัก ร่างสูงกลับเลือกที่จะพูดคุยกับคนตรงหน้าเสียมากกว่า
“แล้วคุณล่ะเดินยังไงให้ชน”
“นี่นายเป็นใคร! กล้าดียังไงมาต่อล้อต่อเถียงกับฉัน!!!”คู่กรณีถามอย่างเดือดดาล ดวงตาคู่เฉี่ยวนั้นจับจ้องมาที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยว แต่คริสก็ไม่ยี่หระ
ตั้งท่าจะสวนกลับ แต่ก็ถูกชานยอลวิ่งเข้ามาห้ามปรามไว้เสียก่อน
“อย่าทะเลาะกันเลยนะครับ”คริสถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นท่าทางของชานยอลที่ดูจะเกรงกลัวคนคนนี้ ผิดกับนิสัยที่มักไม่เคยกลัวใคร
“ชานยอล นายรู้จักกับไอ้เด็กไร้มารยาทนี่รึไง!”
“เอ่อ….รู้ครับ คือ….นี่ คริส ลูกของฮาเดส เป็นเอ่อ……เอ่อ เพื่อนผมเอง”ชานยอลแนะนำคริสให้อีกฝ่ายรู้จักอย่างตะกุกตะกักเมื่อไม่รู้จะเลือกคำจำกัดความไหนมาอธิบายความสัมพันธ์ของพวกเขาดี ก่อนร่างโปร่งจะพูดต่อ
“ส่วนนี่……พี่ฮีซอล ลูกของเอเรส เป็นรุ่นพี่พวกฉัน แล้วก็เป็น…”ชานยอลหยุดพูดไว้เท่านั้น เมื่อซีวอนเป็นคนต่อประโยคนั้นให้จบเอง
“แฟนฉันเอง”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น